By Valery Kulikov
ระบอบการปกครองของเคียฟในปัจจุบันแทบจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น "รัฐ" แต่เปรียบได้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย Al-Qaeda หรือ ISIS – รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย
พฤติกรรมของเคียฟที่เปรียบได้กับกลุ่มก่อการร้าย : การโจมตีพลเรือน โจมตีโครงสร้างพื่นฐานของพลเรือน จับตัวประกัน แบล็กเมล์ ยิงเครื่องบินมาเลเซีย(MH17) สังหารหมู่กลุ่มบุคคลที่ต่อต้าน ประชาคมระหว่างประเทศได้เฝ้าดูสิ่งเหล่านี้อย่างเงียบๆมาตั้งแต่ปี 2014 เมื่อทางการเคียฟปล่อยพวกนีโอนาซีคุกคามพลเรือนในยูเครนตะวันออก
คณะทำงานตรวจสอบสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้สรุปว่ามีผู้เสียชีวิต 12,800 ถึง 13,000 คนใน Donbass ตั้งแต่เดือนเมษายน 2014 ถึงธันวาคม 2018 เผยแพร่โดยสำนักข่าว Dpa ของเยอรมนี ในปี 2019
ยังมีผลสำรวจจากหน่วยงานอื่นๆในตะวันตก ที่ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมาก ตัวอย่างเช่น ในปี 2015 หน่วยข่าวกรองของเยอรมันประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 50,000 คนในยูเครนตะวันออก หน่วยข่าวกรองของเยอรมันยังกล่าวต่อว่าตัวเลขของงสหประชาชาตินั้นต่ำเกินไปและไม่น่าเชื่อถือ
ตามรายงานของผู้ตรวจการแห่งสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ (DPR) พลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงสองปีแรกของความขัดแย้ง 2014 (มีผู้เสียชีวิต 2,546 คนในขณะนั้น) และ 2015 (1,395 คนเสียชีวิต)
ตัวเลขยังอ้างถึงการเสียชีวิตของพลเรือนซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของหน่วยงานปัจจุบันของรัฐบาลเคียฟตั้งแต่ปี 2014 ทุกอย่างแทบจะไม่สะท้อนถึงสถานการณ์ที่แท้จริง พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงจำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของบาดแผลและความเครียดจำนวนผู้สูงอายุและพลเรือนที่เสียชีวิตในยูเครนตะวันออก เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงพวกเขาได้ภายใต้การโจมตีของกองกำลังเคียฟ สิ่งที่พบบ่อยขึ้นคือคนชราเสียชีวิตมากขึ้นเนื่องจากไม่สามารถวิ่งหรือหาที่กำบังได้ทัน
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 9 วันก่อนที่รัสเซียจะเปิดตัวปฏิบัติการพิเศษเพื่อทำลายล้างยูเครน ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เน้นกับสื่อตะวันตกว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในดอนบาสคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ต่อมา ประธานาธิบดีรัสเซียได้พูดอีกครั้งเกี่ยวกับ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” เมื่อต้นเดือนมีนาคม โดยให้ข้อสังเกตว่า “เป็นเวลาแปดปีที่ตะวันตกได้เมินเฉยต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กระทำโดยระบอบเคียฟต่อผู้อยู่อาศัยในสาธารณรัฐ Donbass”
รัฐบาลเคียฟในปัจจุบันเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เข้ายึดอาคารรัฐบาล โดยละเมิดเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่ ตั้งแต่ปี 2014 ก่อนปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียจะเริ่มขึ้น กลุ่มติดอาวุธของเคียฟไม่ได้โจมตีแค่ค่ายทหารรอาสาของ Donbass เท่านั้น แต่ยังรวมถึง เมืองที่สงบสุข โรงพยาบาล โรงเรียน โรงเรียนอนุบาล และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เช่นเดียวกับผู้ก่อการร้ายของ ISIS และอัลกออิดะห์ ทำเป็นประจำในตะวันออกกลาง เราเรียกระบบปกครองเคียฟว่าผู้ก่อการร้ายได้เเล้วหรือไม่?
รายงานที่ตีพิมพ์โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ในช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ถึง 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2021 หัวหน้าคณะผู้แทนติดตาม Matilda Bogner ยอมรับว่ากลุ่มทหารยูเครนมีส่วนร่วมในการทำลายล้างและความตาย เธอตั้งข้อสังเกตว่า 77% ของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตมาจากคมกระสุนที่ยิงมายังพื่นที่โดเนตสค์และสาธารณรัฐประชาชนลูกาสค์ 80% ของกระสุนทั้งหมดที่ถูกยิงระหว่างความขัดแย้งได้ระเบิดในอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนดอนบาส ข้อสรุปของ M. Bogner มีความสำคัญเพราะไม่มีใครเรียกรายงานของสหประชาชาติว่า "โฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย"และประชาคมระหว่างประเทศถือว่าข้อมูลของตนเป็นข้อมูลที่เป็นกลางที่บันทึกอาชญากรรมของรัฐบาลยูเครน
ยิ่งกว่านั้นพวกนาซียูเครนไม่ได้ปิดบังการกระทำของตนเองต่อชาวยูเครนตะวันออก พวกเขาอวดอ้างและเผยแพร่ในสื่อยูเครน เครือข่ายสังคมออนไลน์ มันจึงเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญในดำเนินคดีอาชญากรรมกับรัฐบาลยูเครน.
เมื่อเร็ว ๆ นี้ กิจกรรมการก่อการร้ายของระบอบการปกครองเคียฟ ได้ถูกย้ายไปยังดินแดนรัสเซีย ไปยังเมืองรัสเซียอันเงียบสงบที่ตั้งอยู่ในเขต Bryansk และ Kursk ที่มีพรมแดนติดกับยูเครน ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตอีกครั้ง ไม่ใช่ทหาร! อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆนี้ของกลุ่มก่อการร้ายก็คือการโจมตีแท่นขุดก๊าซ Chernomorneftegaz ซึ่งอยู่ห่างจากโอเดสซาหลายสิบกิโลเมตร เป็นพื่นที่ที่ทราบกันดีว่าไม่มีหน่วยทหาร ที่เกิดเหตุเป็นพลเรือนล้วนๆ
มันดึงความสนใจไปที่ความจริงว่าการโจมตีบน Chernomorneftegaz นี้ดำเนินการโดยขีปนาวุธที่นำมาจากสหราชอาณาจักรหรือสหรัฐอเมริกา
การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาและตะวันตกที่มอบให้กับระบบปกครองก่อการร้ายเคียฟไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น สื่อรัสเซียได้เผยเเพร่ช่วงเวลาก่อนการโจมตี พวกเขาพบดาวเทียมเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ Worldview-1, Worldview-2 และ Worldview-3 ได้ถ่ายภาพพื้นที่ดังกล่าวพร้อมกับแท่นขุดเจาะในวันที่ 11, 13 และ 14 ตามลำดับ เพื่อสำรวจพื้นที่ทะเลดำกับ Chernomorneftegaz และส่งข้อมูลทั้งหมดไปยังผู้ก่อการร้ายเคียฟเพื่อวางแผนและโจมตีสถานที่พลเรือนแห่งนี้
เป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอาจแจ้งขั้นตอนดังกล่าวไปยังทางการเคียฟ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคียฟเองก็ลังเลที่จะโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนรัสเซีย ยิ่งกว่านั้น สหรัฐฯอาจคาดการณ์ถึงผลที่ตามมาของหายนะจากการโจมตีที่ Chernomorneftegaz โดยใช้ "บทเรียน" ของตัวเองหลังจากแท่นขุดเจาะน้ำมัน Deepwater Horizon ระเบิดในอ่าวเม็กซิโก ในปี 2010
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจคือการที่วอชิงตัน "สนับสนุน" การก่อการร้ายในเคียฟซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเป็นการสนับสนุนที่คล้ายคลึงกันในอดีตที่ผ่านมาที่พวกเขาได้สร้างกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ในอัฟกานิสถานและที่อื่นๆ ในตะวันออกกลางเพื่อตอบโต้ สหภาพโซเวียต/รัสเซีย และนโยบายที่คล้ายคลึงกันกับ ISIS วอชิงตันไม่อายแม้แต่น้อยที่จะสนับสนุนผู้ก่อการร้ายในเคียฟด้วยอาวุธมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ และยังบังคับให้พันธมิตรของ NATO ทำเช่นเดียวกัน แถมยังเปิดตัวแคมเปญสนับสนุนทางการเมืองสำหรับผู้ก่อการร้ายเคียฟให้เข้าร่วมสหภาพยุโรป!
เป็นที่น่าสังเกตว่าปฏิบัติการพิเศษเพื่อขจัดภัยคุกคามการก่อการร้ายของรัสเซีย กลับถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ และผู้สมรู้ร่วมคิด เหตุใดจึงไม่มีใครกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อสหรัฐฯ และพันธมิตร ที่ให้การสนับสนุนพวกนาซี ผู้ก่อการร้ายในเคียฟ แถมยังยังจัดหาอาวุธให้พวกเขามากขึ้นอีก
สหรัฐฯและกลุ่มตะวันตกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หากรัสเซียจะใช้วิธีที่คล้ายคลึงกันโดยส่งอาวุธให้ไอร์แลนด์ สู้กับอังกฤษ หรือสนับสนุนเม็กซิโกให้ยึดเท็กซัสกลับคืนมา?
และล่าสุด นายพลชาวยูเครน Dmytro Marchenko เสนอให้รัฐบาลเคียฟระเบิดสะพานไครเมีย อีกครั้งที่เป็นโครงสร้างพื่นฐานของพลเรือน และยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จาก "กลุ่มตะวันตก" ต่อแผนการก่อการร้ายของเคียฟ!
นโยบายของทางการเคียฟในปัจจุบันอยู่ภายใต้เกณฑ์การก่อการร้ายอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับ อัลกออิดะห์และไอซิซ ที่ไม่ได้รับการรับรองโดยประชาคมระหว่างประเทศ เหตุใดทั้ง UN และองค์กรระหว่างประเทศอื่นจึงไม่ลงโทษพวกเขาตามข้อกล่าวหา?
ไม่เพียงแต่ระบอบการปกครองเคียฟในปัจจุบัน แต่กองกำลังและรัฐที่สนับสนุนทั้งทางการเมืองหรือทางการทหาร ควรจะตกอยู่ภายใต้การคว่ำบาตรในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดของผู้ก่อการร้าย!
